เมื่อคนมีอายุมากขึ้นร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ ทั้งผิวหนัง ไขมัน กล้ามเนื้อและกระดูก ความสามารถในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและคอลาเจนก็ลดลง มีการสลายของมวลกระดูกมากขึ้น ผิวหนังและกล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่นและกระชับ และเกิดการหย่อนคล้อย ผิวหนังแห้งแตกและทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ โครงสร้างของผิวเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดรอยย่น ตีนกา ผิวไม่เรียบเนียน การทำ PRP Treatment จะช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูผิวหนังและกระตุ้นการสร้างคอลาเจนและ Hyarulonic Acid ในผิวหนัง ช่วยเพิ่มเนื้อเยื่อและเส้นใยที่ยืดหยุ่นใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น
PRP (Platelet Rich Plasma) คือเกล็ดเลือดเข้มข้นที่สกัดมาจากเลือดของคนไข้ โดยผ่านกระบวนการแยกพลาสม่าทำให้ได้เกล็ดเลือดที่เข้มข้นที่อุดมไปด้วยโปรตีนที่ช่วยในการฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ผิวหนัง ช่วยในการกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลาเจน ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยดำ รอยแผลเป็นและรอยสิว ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ขึ้น ข้อดีของการทำ PRP คือการนำเลือดของคนไข้มารักษาผิวของตัวเองทำให้ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือแพ้จากการฉีด มีเพียงอาการบวมเพียงเล็กน้อยหลังการฉีด และจะหายบวมภายในไม่กี่วันหลังฉีด
เกล็ดเลือดมีที่มาอย่างไร
เลือดของคนประกอบด้วยพลาสม่าเหลว เซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด
เกล็ดเลือดคือส่วนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว มีโปรตีนหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการเจริญเติบโตและรักษาอาการบาดเจ็บ
การสกัดเกล็ดเลือดที่เข้มข้นใช้วิธีนำตัวอย่างเลือดมาปั่นเพื่อแยกพลาสม่าที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือดออกจากเลือด
เกล็ดเลือดที่เข้มข้นจะนำมาใช้ในการรักษาคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ เอ็นอักเสบ ฟื้นฟูผิว ซ่อมแซมผิวหนัง เป็นต้น
เกล็ดเลือดทำหน้าที่อย่างไร
เกล็ดเลือดเป็นเซลล์ที่ช่วยในการรักษาเนื้อเยื่อและซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ เกล็ดเลือดเต็มไปด้วยโมเลกุล Growth Factor ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อคุณโดนมีดบาดจะมีเลือดออก จะมีเกล็ดเลือดออกมาเป็นลิ่มหรือเป็นก้อนบริเวณแผลเพื่อช่วยปกปิดและป้องกันแผลจากเชื้อโรคภายนอก นอกจากนี้เกล็ดเลือดยังช่วยซ่อมแซมผิวที่มีบาดแผลหรืออักเสบจากการบาดเจ็บโดยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและสเต็มเซลล์เพื่อซ่อมแซมผิวหนัง เมื่ออายุมากขึ้นผิวหนังจะเกิดการเสื่อมสภาพ เหี่ยวย่น มีโพรงใต้ผิวหนัง ถ้าฉีดเกล็ดเลือดเข้าไปในใต้ผิวหนังจะทำหน้าที่เข้าไปเติมเต็มและยกผิวที่เป็นโพรงที่เป็นสาเหตุของริ้วรอย หลุม และกระตุ้นการสร้างคอลาเจนและเม็ดสีทำให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ
ขั้นตอนของ PRP Treatment
เจาะเลือดของคนไข้โดยปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับจำนวนพื้นที่ที่คนไข้ต้องการฟื้นฟู ขึ้นอยู่กับวิจารญาณของแพทย์
นำเลือดที่ได้มาผ่านกระบวนการแยกเกล็ดเลือดโดยการปั่นเพื่อให้เลือดแตกตัวและแยกส่วนประกอบออกจากกัน
คัดแยกเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้ในการรักษา
นำเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์มาฉีดเข้าผิวหนังเพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว
PRP ใช้ในการรักษาอะไรบ้าง
มีการใช้วิธีรักษาผู้ป่วยด้วย PRP มาประมาณ 30 ปี โดยใช้ในการรักษาด้านการผ่าตัดศัลยกรรมกระดูก ทันตกรรม มีการใช้ในการทำศัลยกรรมพลาสติคและโรคผิวหนังมาประมาณ 10 ปี มีเอกสารการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของ PRP มากกว่า 30 ปี การค้นคว้าวิจัยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมามุ่งเน้นการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อเพื่อใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บของร่างกาย ผลการวิจัยแสดงให้เห็นเมื่อฉีด PRP เข้าผิวหนังจะกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลาเจนขึ้นมาใหม่
ผลข้างเคียงจากการทำ PRP Treatment
โดยปกติการทำ PRP นั้นแทบจะไม่มีความเจ็บปวดเลยในการรักษา ในขั้นตอนการฉีด PRP เข้าใต้ผิวหนังจะคล้ายกับการฉีดเมโสเธียราพีจะรู้สึกแสบเล็กน้อยเวลาเดินยา ขณะที่ PRP ถูกฉีดเข้าผิวหนังและจะรู้สึกอุ่นๆ ตรงที่ฉีดและบริเวณใกล้เคียง แต่อาการนี้จะจะหายไปภายใน 10-15 นาที
ระยะเวลาที่ใช้ในการทำ PRP Treatment
โดยปกติการฉีด PRP ใต้ผิวหนังจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที โดยจะแปะยาชาเป็นเวลา 45 นาที และการฉีด PRP จะใช้เวลา 10-15 นาที
ระยะเวลาพักฟื้น
การพักฟื้นหลังจากทำ PRP Treatment ผิวจะมีอากาบวมเล็กน้อย 2-3 วัน หรืออาจจะมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดคล้ายๆกับรอยช้ำจากการฉีดโบท็อกซ์ แต่โดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและหายภายในระยะเวลาไม่นาน
ระยะเวลาเห็นผล
ในกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลาเจนตามธรรมชาติจะค่อยๆเห็นผลที่ละนิดจากวันที่เริ่มฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 3 เดือน ควรฉีดซ้ำ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์เพื่อให้การบำบัดมีประสิทธิภาพเต็มที่ สำหรับผิวที่มีริ้วรอยจำนวนมากและลึกอาจจะต้องฉีดซ้ำ 4-6 ครั้ง โดยจะสามารถอยู่ได้นาน 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง หากคนไข้ฉีดครบคอร์สตามคำแนะนำของแพทย์
การปฏิบัติตัวหลังทำ PRP Treatment
หลีกเลี่ยงการล้างหน้าภายใน 6 ชั่วโมงหลังการรักษา
หลีกเลี่ยงการโดนแดด 3 วัน
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
ถ้าเกิดอาการปวดบวมใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม พาราเซตามอล
หลีกเลี่ยงการทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHA
หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า 1 วัน
หลีกเลี่ยงการทานยากลุ่ม Aspirin และ Ibuprofen